วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วันหยุด กับ"วัดพนัญเชิง"

เหตุที่ได้นามว่าพนัญเชิง
          
             ว่า “พแนงเชิง  มีความหมายว่า  “นั่งขัดสมาธิ” ฉะนั้น คำว่า วัดพนัญเชิง” “วัดพระแนงเชิง”  หรือ  “วัดพระเจ้าพแนงเชิง”  จึงหมายความถึงวัดแห่งพระพุทธรูปนั่งปางมารวิชัย คือ “หลวงพ่อโต หรือ “พระพุทธไตรรัตนนายก  นั่นเอง
          
            เพราะการสร้างพระพุทธรูปนั่งปางมารวิชัยเป็นประธานของวัด อาจเป็นลักษณะพิเศษจึงขนานนามวัดตามพระพุทธลักษณะที่สร้างเป็นปางมารวิชัยก็อาจเป็นได้  โดยเฉพาะพระประธานของวัดนี้เป็นพระพุทธรูปนั่งปางมารวิชัยที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย




        

            เพราะสืบเนื่องมาจากตำนานเรื่องพระนางสร้อยดอกหมาก คือ เมื่อพระนางสร้อยดอกหมากกลั้นใจตายนั้น  พระนางคงจะนั่งขัดสมาธิ   เพราะชาวจีนนิยมนั่งขัดสมาธิมากกว่านั่งพับเพียบจึงนำมาใช้เรียกชื่อวัด  บางคนก็เรียกว่า วัดพระนางเอาเชิง  ตามสาเหตุที่ทำให้พระนางถึงแก่ชีวิต 
          

            ฉะนั้น   ถ้าเรียกนามวัดตามความหมายของคำแล้ว    คำว่า  “ วัดพนัญเชิง”   ก็ย่อมหมายความถึงวัดที่มีพระพุทธรูปนั่งขัดสมาธิ คือหลวงพ่อโต  หรือพระพุทธไตรรัตนนายกนั่นเอง




             
             มาแต่ไหนๆมาแปลงว่าผนังเชิงก็ไม่เพราะ  จะเป็นยศเป็นเกียรติอะไร  สำแดงแต่ความโง่ของผู้แปลงไม่รู้ภาษาเดิมว่าเขาตั้งว่า “พนัญเชิง” ด้วยเหตุไรประการหนึ่ง วัดนั้นเป็นวัดราษฎรไทยจีนเป็นอันมากเขาถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์ ก็เจ้าของเดิมตั้งชื่อนั้นไว้จะเป็นผีสางเทวดาสิงสู่อยู่อย่างไรก็ไม่รู้ มาแปลงขึ้นใหม่ ๆ ดูเหมือนผู้แปลงก็ไม่สู้จะสพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔  ทรงอาศัยเหตุที่เรียกชื่อวัดนี้ไปต่าง ๆ กัน  จึงโปรดให้ประกาศเป็นพระราชกฤษฎีกาเกี่ยวกับชื่อวัดพนัญเชิงไว้ดังนี้

            “วัดพนัญเชิง”  อีกคำหนึ่งว่า  “วัดพระเจ้าพนัญเชิง”  ให้คงเรียกอยู่อย่างเดิมอย่าอุตริเล่นลิ้น  เรียกว่าผนังเชิง เพราะเขาเรียกอย่างนั้นทั้งบ้านทั้งเมืองบาย ไม่พอที่ย้ายก็อย่ายกไปเลย  ให้คงไว้ตามเดิมเถิด”

          
           วัดพนัญเชิง เป็นพระอารามหลวงชั้นโท  ชนิดวรวิหาร  แบบมหานิกาย สร้างมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี (จากคำให้การชาวกรุงเก่ากล่าวว่าเป็นพระอารามหลวงลำดับที่ ๑๕) อยู่ในเขตปกครองของคณะสงฆ์ตำบลหอรัตนไชย ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก ตอนใต้ของเกาะเมือง ทางราชการใช้ชื่อว่าตำบลคลองสวนพลู (หรือตำบลกะมัง) อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 



          การเดินทางสู่วัดพนัญเชิงวรวิหาร ๓ ทาง

ก. เดินทางโดยรถยนต์ไปตามถนนพหลโยธิน แยกเข้าจังหวัดพระนครศรีอยุธยาที่สามแยกอำเภอวังน้อย    ถนนสายโรจนะถึงเจดีย์ใหญ่วัดสามปลื้ม ตรงหลักกิโลเมตรที่ ๑ เลี้ยวซ้ายไปตามถนน  ผ่านวัดใหญ่ชัยมงคลแล่นเรื่อยไปจนถึงวัด

ข. เดินทางโดยรถไฟไปยังสถานีจังหวัดพระนครศรีอยุธยาต่อรถประจำทาง หรือรถรับจ้างเพื่อข้ามเรือที่สถานีตำรวจป้อมเพชร ซึ่งเรียกว่า ท่าข้ามวัดสุวรรณดาราราม – วัดพนัญเชิงฯ

ค. เดินทางโดยเรือ มีเรือ ๓ สาย สายใต้และสายตะวันตก จะถึงวัดซึ่งอยู่ตรงข้ามสถานีตำรวจป้อมเพชรก่อนถึงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สายเหนือจะถึงตัวจังหวัดก่อนถึงวัด 




 เนื้อที่และที่ดินธรณีสงฆ์
วัดพนัญเชิงวรวิหาร มีเนื้อที่ตั้งวัด  ๘๒ ไร่  ๓ งาน  ๓๐ ตารางวา โฉนดเลขที่  ๙๑๔๙  ซึ่งนับว่าเป็นวัดที่มีเนื้อที่กว้างขวางที่สุดวัดหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และที่ดินธรณีสงฆ์อีกจำนวน ๘ แปลง มีเนื้อที่รวมกันทั้งสิ้น ๗๗ ไร่  ๙๖  ตารางวา  บริเวณที่ตั้งของวัดพนัญเชิงวรวิหาร ในปัจจุบัน มีอาณาเขตดังนี้

๑. ทิศตะวันตก  ติดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา  บริเวณที่เรียกว่า  ปากน้ำบางกะจะ

๒. ทิศตะวันออกเฉียงใต้  ปัจจุบันเป็นที่ตั้งโรงเรียนวัดพนัญเชิง(ไตรรัตนนายก) ซึ่งอยู่ในความอุปถัมภ์ของวัดพนัญเชิงวรวิหาร

๓. ทิศใต้   ปัจจุบันเป็นที่ตั้งฌาปนสถานของวัดพนัญเชิงฯ โดยมีถนนหลวงตัดผ่าน

๔. ทิศตะวันออก  มีสุสานชาวจีนอยู่ในเขตพื้นที่วัด







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น